WELCOME TO BLOGGER

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558

โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

   

โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

      โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย (อังกฤษ: Bangkok Christian College ย่อ: ก.ท, BCC) เป็นโรงเรียนเอกชนชายล้วนขนาดใหญ่ ได้รับการสถาปนาขึ้นโดยคณะคณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน เมื่อปี พ.ศ. 2395 เป็นโรงเรียนแห่งแรกในเครือสภาคริสตจักรในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย 28 โรงเรียน กับ 2 มหาวิทยาลัย[1] ปัจจุบันโรงเรียนมีอายุ 163 ปี เป็นโรงเรียนที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย เป็นโรงเรียนโปรแตสแตนท์ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ และเป็นโรงเรียนเพียงแห่งเดียวในปัจจุบันที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยตั้งอยู่ เลขที่ 35 ถนนประมวญแขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร[2] โรงเรียนมีศิษย์เก่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน ทั้งองคมนตรี 4 คน นายกรัฐมนตรีไทย 2 คน รัฐมนตรีหลายกระทรวง นักร้อง นักแสดง ผู้จัดรายการหลายคน
โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยเป็นโรงเรียนในเครือจตุรมิตร ซึ่งประกอบด้วย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนอัสสัมชัญ และโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย


ประวัติ

  • ค.ศ. 1852 คณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน (American Presbyterian) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีพระบรมราชานุญาตให้คณะมิชชันซื้อที่ดิน 2 แปลงคือที่ตำบลกุฎีจีน หลังวัดแจ้ง และตำบลสำเหร่ และได้ตั้งโรงเรียนเป็นแห่งแรก ณ ตำบลกุฎีจีน โดยจ้างเด็กมาเรียนวันละเฟื้อง (12 สตางค์) มีซินแสกีเอ็ง ก๊วยเซียนเป็นผู้สอน ในตอนนั้นมีเยาวชนจีนเพียง 8 คนเท่านั้นที่สมัครเป็นนักเรียน
  • ค.ศ. 1856 มีนักเรียนไทยกลุ่มแรกเข้ามาสมัครเป็นนักเรียนที่นี่ ต่อไปนี้เป็นชื่อนักเรียนเท่าที่มีบันทึกเอาไว้
    • นร. เลขประจำตัว 1 พระยาอุตรกิจฯ
    • นร. เลขประจำตัว 2 หลวงวิจิตรฯ
    • นร. เลขประจำตัว 8 หลวงขบวนฯ
    • นร. เลขประจำตัว 29 ครูยวญ เตียงหยก
    • นร. เลขประจำตัว 31 นายเทียนสู่ กีระนันทน์
  • ค.ศ. 1862 คณะอเมริกันมิชชันนารี เล็งเห็นว่ากิจการด้านการศึกษาก้าวไกลไปข้างหน้าด้วยดี จึงย้ายโรงเรียนจากเดิมที่ตำบลวัดแจ้งมาเปิดที่ตำบลสำเหร่ ซึ่งอยู่ทางใต้ลงมาและมอบให้ศาสนทูต เอล แมตตูน เป็นผู้อำนวยการ ปรากฏว่าผลงานเป็นที่พอใจ อนึ่งในระยะเวลานั้นทางรัฐบาลไทยได้เปิดโรงเรียนของรัฐบาลแห่งหนึ่งที่ตำบลสวนอนันต์ ได้เชิญท่าน เอส.จี.แมคฟาแลนด์ หรือคุณพระอาจวิทยาคมเป็นผู้อำนวยการ โดยมีวัตถุประสงค์หรือนโยบายเพียงให้การศึกษาเฉพาะบุคคลชั้นเจ้านาย ลูกท่านหลานเธอและบุตรข้าราชการผู้ใหญ่ในราชสำนักเท่านั้น ท่านผู้อำนวยการเห็นว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายนั้น ลำพังท่านเพียงผู้เดียวนั้นยากที่จะดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมายได้ ดังนั้นท่านจึงได้ออกปากชวน ท่านอาจารย์จอห์น.เอ.เอกิ้น เข้ามาร่วมงานอีกท่านหนึ่ง และแล้วกิจการของโรงเรียนราษฎร์แห่งแรกก็ได้ก้าวหน้าไปด้วยดี
  • ค.ศ. 1888 เมื่อท่านอาจารย์จอห์น.เอ.เอกิ้นได้เข้าร่วมงานกับท่านอาจารย์เอส.จี.แมคฟาแลนด์ได้ระยะหนึ่งและเมื่อพ้นพันธะใดๆแล้ว ท่านก็ลาออกจากตำแหน่งครูรัฐบาลแต่ด้วยใจรักการศึกษา ท่านก็ได้จัดตั้งโรงเรียนส่วนตัวขึ้น ณ ตำบลวัดกระดี่จีน (กุฏีจีน) ชื่อว่าโรงเรียนบางกอกคริสเตียนไฮสกูล (B.C.H.) และได้เชิญอาจารย์และแหม่มเจ.บี.ดันแลป พร้อมด้วยน้องสาวของท่าน เข้าร่วมงาน
และในปีเดียวกันนั้นเอง อาจารย์จอห์น.เอ.เอกิ้น และคณะทั้งสามของท่านได้สมัครเข้าสังกัดของคณะเพรสไบธิเรียนแล้ว และในเวลาเดียวกันท่านศาสนทูตเอส.อาร์เฮ้าส์ ท่านศาสนทูตเจ.เอม.คัลเบริ์ทซัน ท่านศาสนทูตเอน.เจ.แมคโดนัล และท่านศาสนทูต เจ.แวนได๊ก์ ได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของท่าน ณ สหรัฐอเมริกา ทำให้ทางฝ่ายมิชชันในกรุงเทพฯ ขาดผู้บริหารด้านการศึกษาไปที่ประชุมจึงได้มีมติให้อาจารย์เจ.เอ.เอกิ้น เป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะบริหารงานด้านการศึกษาของมิชชันต่อไป ดังนั้นท่านต้องแบกภารกิจเป็น 2 เท่าคือทั้งงานส่วนตัวที่"บางกอกคริสเตียนไฮสกูล"ที่กุฎีจีน และโรงเรียนของคณะมิชชันที่สำเหร่
  • ค.ศ. 1892 ท่านอาจารย์จอห์น.เอ.เอกิ้น เห็นว่าการที่ต้องบริหารงานเป็นสองฝักสองฝั่งเช่นนี้ย่อมสิ้นเปลืองแรงงาน และไม่ประสบความสำเร็จในที่สุด ท่านจึงตัดสินใจยกเลิกกิจการที่กุฎีจีนเสีย และมุ่งหน้าปรับปรุงกิจการส่วนรวมของหมู่คณะ คือดำเนินการบริหารที่สำเหร่แต่เพียงด้านเดียวท่านได้แสดงถึงความเสียสละ อย่างยิ่ง โดยทุ่มเททุนส่วนตัวของท่านที่สะสมไว้เพื่อ "บากกอกคริสเตียนไฮสกูล" ที่กุฎีจีนทั้งหมด เพื่อสร้างงานใหม่ที่ตำบลสำเหร่ โดยได้สร้างอาคารใหม่ใช้เป็นสถานศึกษาสำหรับนักเรียนชาย ขนานามใหม่ว่า "สำเหร่ บอยสกูล"
  • ค.ศ. 1900 ทางคณะมิชชันนารีเล็งเห็นว่า หากจะขยายการศึกษาให้กว้างไกลออกไปแล้ว ที่ดินตรงตำบลสำเหร่ไม่เหมาะสม จึงมุ่งหมายไปยังที่ดินแปลงใหม่ ณ ฝั่งชายแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นฝั่งกรุงเทพฯ ปัจจุบันและในที่สุดก็ได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งที่บริเวณ ถนนประมวญ ตำบลสีลม อำเภอบางรัก และสร้างสถาบันการศึกษาขึ้นใหม่เรียกนามว่า "กรุงเทพคริสเตียนไฮสกูล" เปิดทำการสอนเป็นปฐมฤกษ์เมื่อ
  • ค.ศ. 1913 กรุงเทพคริสเตียนไฮสกูล รุ่งโรจน์เรื่อยมาเป็นลำดับ กิจการงานศึกษาแผ่กว้างยิ่งขึ้น มติจากบอร์ดนอก จึงได้สั่งให้เปลี่ยนจากไฮสกูล เป็นคอลเล็จ (COLLEGE) ดังนั้นเองนามของสถาบันการศึกษาแห่งนี้จึงได้เปลี่ยนเป็น "กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย" เรียกชื่อและเขียนตามอักษรโรมันว่า BANGKOK CHRISTIAN COLLEGE มักเรียกย่อๆว่า BCC
  • ค.ศ. 1920 กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยได้รับเกียรติรับรองวิทยฐานะเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาล
โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย สังกัดสำนักงานพันธกิจการศึกษามูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทย บนเนื้อที่ 15 ไร่ 2 งาน 31 ตารางวา ประกอบไปด้วยหอธรรม อาคารอารีย์ เสมประสาท อาคาร 2 อาคารสิรินาถ อาคารบีซีซี 150 ปี สระว่ายน้ำ สนามฟุตบอล สนามบาสเกตบอล เปิดการเรียนการสอน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และอาคารจอห์น เอ เอกิ้น ซึ่งเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง 16 ชั้นและชั้นใต้ดิน 4 ชั้น ชั้น 12 เป็นหอประวัติศาสตร์โรงเรียน


พระบรมราชจักรีวงศ์กับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

หอธรรม
บูรพกษัตริยาธิราชและราชกุลแห่งบรมราชจักรีวงศ์ทรงมีคุณอันใหญ่หลวงต่อโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยมาโดยตลอด พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่4) มีพระบรมราชานุญาตให้คณะมิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบธีเรียนมิชชั่นซื้อที่ดินในประเทศสยามไว้ 2 แห่ง และสร้าง โรงเรียนแห่งแรกที่ตำบลกุฎีจีน ฝั่งธนบุรี (อันเป็นต้นกำเนิดของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ในปัจจุบัน) เปิดทำการสอนครั้งแรกเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2395 ต่อมาได้เปิดดำเนินการสอนอีกแห่งที่ตำบลสำเหร่ ฝั่งธนบุรีเช่นกัน
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงสนับสนุนโครงการขยายการศึกษาของคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนมิชชั่นมายังฝั่งกรุงเทพฯ พระองค์พระราชทานเงินจำนวน 20 ชั่งเพื่อสมทบในกองทุนที่จัดซื้อที่ดินที่ ตำบลสีลม อำเภอบางรัก กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2443 เพื่อสร้างโรงเรียนขนาดใหญ่ขึ้นใหม่ มีอาคารเรียน ห้องเรียน ห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย เริ่มทำการสอนเมื่อ พ.ศ. 2445 นอกจากนั้นพระองค์ยังพระราชทานนาฬิกาประดับพระปรมาภิไธยย่อ"จ.ป.ร."ไว้ที่สถาบันการศึกษาแห่งนี้
กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการสอนทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย จะเน้นหนักที่ภาษาอังกฤษโดยจะใช้ภาษาอังกฤษสอนในทุกรายวิชา (ยกเว้นวิชาภาษาไทย) นักเรียนจะต้องพูดภาษาอังกฤษทั้งในเวลาเรียนและเวลาที่อยู่ในโรงเรียน ที่เป็นเช่นนี้เพราะการปลูกฝังทักษะด้านภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียน หากนักเรียนคนใดพูดภาษาไทยในเวลาดังกล่าวจะต้องถูกทำโทษโดยการให้อยู่เย็นและท่องงานตามที่อาจารย์มอบหมาย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่6) มีพระบรมราชานุญาตให้โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย มีวิทยฐานเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาลเมื่อ พ.ศ. 2463 นับเป็นโรงเรียนแห่งแรกที่ได้รับเกียรตินี้ และแตรวง (วงดุริยางค์) ของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เป็นตัวแทนของเขตพระนครใต้ เป็นกองเกียรติยศบรรเลงร่วมกับแตรวงโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยและวงดุริยางค์กองทัพบก บรรเลงนำขบวนพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพ.ศ. 2469
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่7) มีพระมหากรุณาธิคุณต่อโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โดยพระราชทานโต๊ะทรงพระอักษรประดับตราพระลัญจกร "วชิราวุธ" (โต๊ะทรงพระอักษรชุดนี้เป็นโต๊ะทรงพระอักษรในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นเกียรติแก่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย)
ราชสกุล"มหิดล"นับว่ามีความใกล้ชิดกับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยอย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เมื่อครั้งดำริพระอสสริยยศเป็นกรมหลวงสงขลานครินทร์ พระองค์เสด็จเยี่ยมโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เป็นประจำ ด้วยเหตุที่ทรงสนิทสนมกับมิชชันนารีที่บริหารโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยในสมัยอาจารย์ เอ็ม.บี.ปาล์มเมอร์ (M.B.Palmer) และ ดร.อี.เอ็ม.เท็ตต์ (E.M.Tate) ทรงสนพระทัยโครงการขยายการศึกษาของคณะมิชชันนารีและได้พระราชทานแนวพระราชดำริเกี่ยวกับแผนพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เอกสารแนวพระราชดำริปัจจุบันเก็บไว้ ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ทุกครั้งที่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์อดุลยเดชวิกรม บรมราชชนก เสด็จเยี่ยมโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีจะโดยเสด็จด้วยทุกครั้งและทรงเป็นกันเองกับมิชชันนารี ทรงยินดีรับคำเชิญในการร่วมกิจกรรมของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย มาโดยตลอด ครั้งหนึ่งเมื่อสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนีเสด็จเยี่ยมโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ทอดพระเนตรเห็นความทรุดโทรมของสนามฟุตบอลโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จึงได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 3,000 บาท เพื่อปรับปรุงสนามฟุตบอลโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ให้เป็นสนามฟุตบอลที่ทันสมัย ต่อมาเมื่อคณะศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ซึ่งเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์ ปาล์มเมอร์ ได้ร่วมกันสร้าง "อนุสรณ์ปาล์มเมอร์" ขึ้น และกราบทูลเชิญพระองค์เป็นองค์ประธานในการเปิดอนุสรณ์ปาล์มเมอร์ และทรงยินดีรับคำเชิญนี้ ภายหลังจากการเปิดอนุสรณ์ปาล์มเมอร์แล้ว พระองค์เสวยพระกระยาหารและทรงซักถามถึงความเป็นไปของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และมีพระราชดำรัสขอให้โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยอย่าหยุดยั้งในการพัฒนาการศึกษาแก่เยาวชนของชาติ
ต่อมาคณะผู้ริหารโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย นำโดยอาจารย์อารีย์ เสมประสาท ได้นำคณะครูและนักเรียนเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ วังสระปทุม เมื่อวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 เพื่อถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยและพระองค์โปรดให้คณะครูและนักเรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ถ่ายภาพร่วมกับพระองค์ด้วย ยังความปิติเป็นล้นพ้นแก่ชาวโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยทุกคน และเมื่อคราวที่พระองค์เจริญพระชนมายุครบ 93 พรรษา โปรดให้วงดุริยางค์โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย บรรเลงเพลงถวาย ณ วังสระปทุมในวันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2535ด้วย
โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยได้พัฒนาอย่างยิ่งทั้งด้านการศึกษาและเทคโนโลยี ด้วยพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแต่พระราชาองค์นั้น คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริเสนอแนวทางในการพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยแก่อาจารย์อารีย์ เสมประสาท ว่า
ควรจะจัดโรงเรียนในลักษณะเดียวกันกับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยในชนบทเพื่อขยายการศึกษาไปสู่ส่วนภูมิภาค
อาจารย์อารีย์ เสมประสาท ได้รับใส่เกล้าใส่กระหม่อมเพื่อจะได้ดำเนินการต่อไป
ในพระราชวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถมีพระชนมายุ 60 พรรษา โรงเรียนกุรงเทพคริสเตียนวิทยาลัยได้สร้างอาคารศูนย์วิทยบริการซึ่งเป็นอาคารสูง 16 ชั้น อันเป็นอาคารที่มีความทันสมัยทั้งด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีก้าวล้ำไปสู่ศตวรรษที่ 21 ดังนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จึงพระราชทานนามอาคารนี้ว่า "อาคารสิรินาถ"
โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ไม่หยุดยั้งโครงการพัฒนาการศึกษา ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราชาที่พระราชทานแนวพะราชดำริแก่คณะผู้บริหารโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยจึงได้วางแผนการศึกษาและดำเนินการโครงการต่างๆอันเป็นการก้าวล้ำไปสู่ศตวรรษหน้า
สมดังพระราชดำรัสของสมเด็จพระบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย) ที่ทรงประทานให้แก่นักเรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ที่สำเร็จการศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2468 ว่า
โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยมีแต่จะพัฒนาสืบไป


ความหมายของสีประจำโรงเรียน

โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยมีสีประจำโรงเรียนคือ สีม่วงและสีทองซึ่งท่านอาจารย์ เอ็ม.บี.ปาล์มเมอร์ เป็นผู้ที่ได้สถาปนาสีประจำโรงเรียน
ความหมายของสีนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นคือ
1. สีม่วงหมายถึง สีแห่งกษัตริย์ หรือราชสำนัก สีทองหมายถึงความมีค่า
2. สีม่วงมาจากสีน้ำเงิน (พระมหากษัตริย์) ผสมกับสีแดง (ชาติ) สีทองคล้ายกับสีเหลืองอันหมายถึง ศาสนา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น